หนึ่งในการบำรุงรักษาที่สำคัญที่สุดแต่กลับถูกละเลยมากที่สุด คือการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก หลายคนอาจมีคำถามว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกเมื่อไร? คำตอบที่เป็นมาตรฐานสากลคือ ทุก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร แต่เป็นข้อกำหนด ที่ส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในการขับขี่ละอะไรจะเกิดขึ้นหากเราไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกตามกำหนด
หัวใจสำคัญ: ทำไมน้ำมันเบรกถึง “เสื่อมสภาพ” ได้?
สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำมันเบรกต้องมีวันหมดอายุการใช้งาน มาจากคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เรียกว่า “การดูดความชื้น” (Hygroscopic) น้ำมันเบรก (ประเภท DOT 3, 4, 5.1) ถูกออกแบบมาให้ดูดซับความชื้นจากอากาศ สามารถแทรกซึมเข้าระบบผ่านสายเบรกและซีลต่างๆ ได้ตลอดเวลา เมื่อน้ำมันเบรกชื้นขึ้น ประสิทธิภาพก็จะลดลงและก่อให้เกิดปัญหาตามมา
รู้จัก “จุดเดือดแห้ง” vs “จุดเดือดเปียก”
เนื่องจากน้ำมันเบรกจะดูดความชื้นในอากาศ ทำให้มีจุดเดือดที่ต่ำลง มาตรฐานสากลจึงกำหนดค่าจุดเดือดไว้ 2 ค่า คือ:
- จุดเดือดแห้ง (Dry Boiling Point): คือจุดเดือดของน้ำมันเบรกใหม่ที่ยังไม่มีความชื้นปนเปื้อน ซึ่งจะมีค่าสูงมาก
- จุดเดือดเปียก (Wet Boiling Point): คือ ค่าที่วัดจากน้ำมันเบรกที่มีความชื้นสะสมหลังใช้งานจริง หากค่าจุดเดือดต่ำเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิดฟองไอในระบบเบรก
Vapor Lock: อาการเบรกวืด
อาการ “เบรกวืด” (Vapor Lock) เกิดขึ้นเมื่อใช้เบรกหนักจนเกิดความร้อนสูง ซึ่งความร้อนนี้ทำให้น้ำที่ปนเปื้อนอยู่ใน น้ำมันเบรกเก่าเดือดกลายเป็นไอในระบบ เนื่องจากไอหรือฟองอากาศสามารถถูกบีบอัดได้ เมื่อเหยียบเบรก แรงดันจึงไม่ถูกส่งไปที่ลูกสูบเบรก ทำให้แป้นเบรกจมลงโดยที่รถไม่หยุด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
การกัดกร่อนภายในระบบ
ข้อแนะนำ: การเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามระยะ ช่วยป้องกันการเกิดตามดที่ลูกสูบอีกด้วย
น้ำที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำมันเบรกเก่า ไม่เพียงแต่ลดจุดเดือด แต่ยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิด สนิมและการกัดกร่อน ชิ้นส่วนโลหะภายในระบบเบรกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุดปั๊ม ABS ที่มีความซับซ้อนารกัดกร่อนเหล่านี้ อาจทำให้เกิด “ตามด” หรือรอยรั่วตามซีลต่างๆนำไปสู่ค่าซ่อมบำรุง ในอนาคต