เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรม Pullman Bangkok King Power บริษัท SCB SME ได้จัดงาน THE DOTS ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด Family Power : Legacy to the Future เวทีแลกเปลี่ยนมุมมองการสืบทอดและการต่อยอดพลังของธุรกิจครอบครัวไทยสู่อนาคต
คุณกวีศิลป์ ศิริมณีธรรม บทเรียนการเติบโตของธุรกิจครอบครัว GP Mobility
ในโอกาสนี้ คุณ กวีศิลป์ ศิริมณีธรรมประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี.พี. โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งใน Speaker คนสำคัญ ถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์การพาธุรกิจครอบครัวเติบโตต่อเนื่องกว่า 17 ปี (2008 – 2025) จากร้านอะไหล่รถยนต์ในตึกแถวหนึ่งคูหา สู่บริษัทมหาชนที่มียอดขายระดับ 2,000 ล้านบาท
การแบ่งปันครั้งนี้สะท้อนแนวคิดการบริหารธุรกิจครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม และการต่อยอดจากรากฐานที่แข็งแรง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
ผู้ร่วมแบ่งปันมุมมองด้าน Family Power : Legacy to the Future ได้แก่
- คุณบัณฑิต ลีเลิศพันธ์ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด
โดยในงานครั้งนี้ คุณนิธิ สัจจทิพวรรณ – CEO & Co-Founder, MyCloud Fulfillment และ คุณเสสินัน นิ่มสุวรรณ์ – ผู้ก่อตั้งเพจทำที่บ้าน ยังทำหน้าที่เป็น Course Directors ร่วมกำหนดทิศทางและออกแบบเนื้อหาการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำองค์ความรู้และบทเรียนจากเวที THE DOTS ไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม
หากความยั่งยืนคือความไม่เที่ยง ธุรกิจจะเติบโตต่อไปได้อย่างไร?
คำตอบคือ “ความสามารถในการเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”เพราะความยั่งยืนของธุรกิจไม่ได้วัดจากอายุ แต่คือความสามารถในการค้นหา S-Curve ใหม่ ให้กับองค์กร โดยยังคงรักษาจิตวิญญาณและรากฐานเดิมเอาไว้
“4 ยุคสมัยแห่งการเติบโตของ GP Mobility
ผ่านการเล่าเรื่องจากคุณกวีศิลป์ การเติบโตของธุรกิจ ไม่ได้เกิดจากความสำเร็จเพียงช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งหากแต่เป็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ ปรับตัว และตัดสินใจในแต่ละจังหวะของชีวิตองค์กร”
ยุคที่ 1 : ยุคความฝัน – ทุกอย่างกำลังก่อร่างสร้างตัว
คุณกวีศิลป์เล่าว่า เป็นยุคแรกที่ก่อตั้งโดยคุณพ่อคุณแม่ เริ่มต้นจากร้านค้าปลีกขนาดหนึ่งคูหา ก่อนเติบโตสู่ร้านค้าส่งอะไหล่รถยนต์ และได้รับโอกาสเป็นดีลเลอร์ค้าอะไหล่จากอีซูซุ ถือเป็นยุคแรกของการเติบโตที่ขับเคลื่อนผ่าน 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่ การโฟกัสในสิ่งที่ชำนาญ การสร้างความแตกต่างผ่านความน่าเชื่อถือ และการมี Unfair Advantages จากอีซูซุ
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ คุณกวีศิลป์ตัดสินใจ “กลับมาทำที่บ้าน” เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของคุณพ่อคุณแม่ ขณะเดียวกันบริษัทคู่แข่งเริ่มมีทายาทรุ่นต่อไปเข้ามารับช่วงต่อ และพี่น้องคนอื่นไม่ได้มีความสนใจกลับมาทำธุรกิจครอบครัว
จุดนี้เองที่พาว่าที่สถาปนิกก้าวเท้ากลับสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้งในหลักสูตร MBA พร้อมความฝันที่อยากเป็น “ฮีโร่” นำความรู้มาช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจครอบครัว
ยุคที่ 2 : ยุคลูกจ้าง – ร่วมทำงานกับคุณพ่อ
จากความฝันที่จะเป็นฮีโร่ ต้องเริ่มต้นใหม่ในฐานะลูกจ้างในบริษัทของคุณพ่อ ในยุคนี้คุณกวีศิลป์เริ่มสร้างผลงาน ผ่านการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งาน การลงระบบ ERP และการจ้างโปรแกรมเมอร์มาช่วยเหลือภายใน พร้อมกับการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากคุณพ่อคุณแม่
คุณกวีศิลป์สร้างความเชื่อใจผ่านหลัก 3Cs ได้แก่
- Care การเห็นอกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่
- Character การเรียนรู้ถึงลักษณะนิสัยที่ถูกใจคุณพ่อคุณแม่
- Competence การพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานที่ได้รับมอบหมาย
รวมไปถึงการสร้างการยอมรับจากพนักงานรุ่นเก่า ผ่านการให้เกียรติ และการรับฟังเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น
ยุคที่ 3 : ยุคพญาอินทรี – กางปีกบินอย่างเต็มตัว
ยุคนี้เป็นช่วงที่ GP Mobility เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งการลงทุนย้ายสำนักงาน การขยายคลังสินค้า การปลดล็อกข้อจำกัดด้านการเงิน ทำให้กระแสเงินสดภายในบริษัทไม่ติดขัด รวมถึงการขยายแบรนด์อะไหล่รถยนต์จาก 1 แบรนด์ เป็นกว่า 30 แบรนด์ ทั้งอะไหล่แท้และอะไหล่ทดแทน พร้อมเดินหน้าการตลาดเชิงรุกผ่านทีมขาย
กลยุทธ์ของ “พญาอินทรี” ในยุคนี้ คือการเติบโตแบบ Low Resource, High Impactสิ่งใดที่ทำได้เร็ว ใช้ทรัพยากรไม่มาก และให้ผลลัพธ์ที่ดี จะถูกนำมาลงมือทำก่อน
จากการเติบโตดังกล่าว ทำให้คุณกวีศิลป์ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การมองตามผู้เล่นที่เก่งที่สุดในตลาด เพราะเมื่อเทียบเคียงกับเบอร์หนึ่งได้ จะสามารถแย่งส่วนแบ่งจากผู้เล่นรายอื่นที่แซงขึ้นมาได้บริษัทที่เติบโตเร็ว จะดึงดูดคนเก่งที่มีองค์ความรู้ใหม่และกว้างเข้ามาพร้อมกับ Mindset ที่ช่วยสร้างความสมดุลว่า
“ในวันที่เราเก่งและโตไว ให้คิดไว้ว่าเราไม่ได้เก่งกว่าเขาเท่าไหร่”
และ“ในวันที่เราลำบาก ให้คิดว่าเขาก็ไม่ได้เก่งไปมากกว่าเราเท่าไหร่” คุณกวีศิลป์กล่าวเสริม
ยุคที่ 4 : ยุคลูกจ้างอีกครั้ง – กลับมาเป็นคนทำงานให้ Stakeholders
เข้าสู่ยุคสุดท้ายที่ GP Mobility ก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนอย่างเต็มตัว คุณกวีศิลป์พบว่า หากต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีระบบที่แข็งแรงรองรับ
เรียกได้ว่าแทบทุกภาคส่วนในธุรกิจมีระบบเข้ามาช่วยสนับสนุน
- การวางระบบควบคุมภายใน
- การนำระบบ SAP มาใช้งาน
- การว่าจ้างผู้สอบบัญชีจากองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ
- การจัดตั้งคณะกรรมการและผู้จัดการในทุกแผนก
- การให้ความสำคัญกับ “Quality of Income” มากกว่ายอดขาย
- การมุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่กับการลดต้นทุน
จากวันที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง สู่วันที่มีระบบช่วยทำงานหลายด้าน คุณกวีศิลป์มองว่าบทบาทของ CEO ต้องยกระดับมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดทิศทางองค์กร การทำให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน การทำงานผ่านหัวหน้าแผนก การทำงานร่วมกับคณะกรรมการ รวมถึงการบริหารชีวิตส่วนตัวให้สมดุล
และนี่คือเรื่องราวของ GP Mobility ที่เป็นบทพิสูจน์ว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ใช่ธุรกิจที่โตเร็วที่สุด.. แต่คือธุรกิจที่ไม่หยุดโตเลยต่างหาก”
Post Views: 9





















