GP Mobility ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีและ วิทยาลัยเทคโนโลยีโพลีกรุงเทพ ปฏิวัติระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าไทย

บริษัท จีพี โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือ ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับสองสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

     ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคชาวไทยมีความซับซ้อนและต้องการข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้น โดยมีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างตลาด สะท้อนจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565 – 2567) มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในไทยเกือบ 100 โมเดล และมีผู้เล่นหน้าใหม่โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตสัญชาติจีนเข้ามาทำตลาดมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 5% ในปี 2557 พุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ 18% ในปี 2566

     อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการเติบโตที่น่าตื่นเต้นนี้ กลับซ่อนความท้าทายเชิงโครงสร้างในระบบนิเวศหลังการขาย (Aftermarket Ecosystem) ที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาคอขวดสำคัญของอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปแบบของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ EV ที่มีราคาสูง โดยมีสาเหตุหลัก 4 ประการ:

  1. ค่าซ่อมและอะไหล่ที่มีราคาสูง: ชิ้นส่วน EV ส่วนใหญ่ยังต้องนำเข้า ทำให้มีต้นทุนสูงและใช้เวลานานในการขนส่ง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ หากเกิดความเสียหายอาจมีค่าเปลี่ยนสูงถึง 60% ของมูลค่าตัวรถ
  2. การขาดแคลนช่างซ่อมที่เชี่ยวชาญ: ปัจจุบันมีจำนวนช่างที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริงไม่เพียงพอ ทำให้การซ่อมบำรุงต้องพึ่งพาศูนย์บริการเฉพาะทางที่มีจำกัดและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ
  3. ผู้ให้บริการประกันภัยมีจำกัด: บริษัทประกันภัยในไทยเพียงประมาณ 10 จาก 20 รายเท่านั้นที่รับประกันรถยนต์ EV เนื่องจากยังมีความกังวลต่ออัตราความเสียหายที่สูง (Loss Ratio)
  4. ความรุนแรงของอุบัติเหตุสูงกว่า: อุบัติเหตุในรถยนต์ EV แม้ที่ความเร็วต่ำ มีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าความเสียหายได้สูงกว่ารถยนต์สันดาป

จากปัจจัยเหล่านี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ คาดการณ์ว่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ EV เฉลี่ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 25,500 บาทต่อคันต่อปีไปจนถึงปี 2573 (ข้อมูลจาก SCB EIC) 

ภาวะการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเติบโตของตลาด EV ในอนาคตจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนไม่ได้ หากปราศจากการลงทุนและพัฒนา “ระบบนิเวศหลังการขาย” ที่แข็งแกร่งมารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งพัฒนาบุคลากรและช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ และการสร้างมาตรฐานอะไหล่ทดแทนในประเทศ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว บริษัท จีพี โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำบริการหลังการขายยานยนต์ จึงได้ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) กับสองสถาบันการศึกษาชั้นนำ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และวิทยาลัยเทคโนโลยีโพลีกรุงเทพ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นผู้ริเริ่มในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง

โดยมีผู้บริหารจากทั้งสามฝ่ายร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง ได้แก่:

  • คุณกวีศิลป์ ศิริมณีธรรม – CEO บริษัท จีพี โมบิลิตี้ จำกัด (มหาชน)
  • อ.สมมาตร ทองคำ – คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
  • คุณกันตินันท์ ศรีประสงค์ – ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีโพลีกรุงเทพ

5 เสาหลักแห่งความร่วมมือ สู่อนาคต EV ที่ยั่งยืน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ทุกฝ่ายจะร่วมกันผลักดันโครงการใน 5 แกนหลักอย่างเป็นรูปธรรม

  • พัฒนาหลักสูตรเพื่ออนาคต: สร้างและพัฒนาหลักสูตร “EV Technician” และ “EV Aftermarket Business” เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพสู่ตลาด
  • วิจัยและพัฒนาเชิงลึก: ร่วมกันวิจัยและพัฒนาอะไหล่ทดแทนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Spare Parts) และศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง
  • จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้: ก่อตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้อะไหล่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Learning Hub)” ให้เป็นศูนย์กลางความรู้และนวัตกรรมที่ครบวงจรภายในมหาวิทยาลัย
  • สร้างมาตรฐานศูนย์บริการ: พัฒนาต้นแบบศูนย์บริการอะไหล่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหา, การทดสอบคุณภาพ ไปจนถึงการให้คำปรึกษาทางเทคนิค
  • ยกระดับทักษะช่าง: จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ให้กับนักศึกษาและช่างเทคนิคในปัจจุบัน เพื่ออัปเดตความรู้และทักษะให้ทันต่อเทคโนโลยี

 

วิสัยทัศน์สู่อนาคตที่ยั่งยืน

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้เป็นมากกว่าเพียงเอกสารแสดงเจตนารมณ์ แต่ทำหน้าที่เป็น “แผนแม่บท” ที่กำหนดกรอบและทิศทางการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคอุดมศึกษา และภาคอาชีวศึกษาสำหรับ จีพี โมบิลิตี้ ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป (ICE) หรือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หัวใจสำคัญยังคงเป็นเรื่อง ‘อะไหล่’ และ ‘บริการ’ ที่ดีที่สุดเสมอ โดยมองว่ารถ EV ไม่ใช่แค่เทรนด์ใหม่ แต่คืออีกหนึ่ง ‘ความรับผิดชอบ’ ที่มีต่อผู้ขับขี่ทุกคน

“เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความไว้วางใจของลูกค้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ GP Mobility พร้อมเป็นพันธมิตรที่ดูแลรถของคุณในทุกเส้นทาง… ทั้งในวันนี้และอนาคต”

ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อให้ผู้ใช้รถ EV ทุกคนสามารถเข้าถึงอะไหล่ทดแทนคุณภาพสูงและบริการจากช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญได้อย่างแท้จริง

 

More Posts